เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องมองโกล . . จากหนังสือ “เจงกิสข่าน มหาบุรุษผู้เปลี่ยนโลก”สัตว์เลี้ยง ณ ทุ่งหญ้าสเตปป์มีห้าประเภท วัว จามรี ม้า แพะ แกะ อูฐ
จริงๆ มี 6 ประเภท แต่เป็นเพราะชาวเผ่านับวัวกับจามรีเป็นชนิดเดียวกัน
สายตระกูลต่างๆ ก่อนจะรวมเผ่าต่างๆ เป็นประเทศมองโกล
เท่าที่อ่านเจอและเห็นในหนังสือจะมีพวกต่างๆ ดังนี้
ตาตาร์ เจอร์คิน จาดารัน ตายิชิอุด เคเรยิด เมอร์คิด ไนแมน โอลคูนูอุด บอริจิน
การรวมเผ่าตามวิธีของเจงกิสข่านจะไม่เหมือนรูปแบบเดิมที่ทำการรบชิงทรัพย์
คนที่ถูกจับได้จะถูกนำไปเป็นทาสของอีกเผ่า คนที่รอดก็จะหาทางกลับมาแก้แค้น
แต่เจงกิสข่านใช้วิธีใหม่คือรบและกำจัดผู้นำ จากนั้นนำทรัพย์สินมาแบ่งคนในเผ่า
คนต่างเผ่าที่รอดหากยอมเป็นมิตรก็จะได้รับการแบ่งทรัพย์สินและให้เข้ามาอยู่ในเผ่า
พวกเขามิได้ถูกปฏิบัติเยี่ยงทาส แต่เป็นเหมือนคนในครอบครัวและอนุญาตมีการแต่งงานระหว่างเผ่า
รูปภาพประกอบจากละคร 《建元风云》การสู่ขอเจ้าสาวตามประเพณีของทุ่งหญ้าสเตปป์ตั้งแต่ยุคโบราณนั้น
ฝ่ายชายจะทำการหาคู่เมื่ออายุได้ 8-9 ปี เมื่อพบคู่ที่ถูกใจจะทำการหมั้นไว้
มีการมอบสินสอดเป็นสิ่งของกับสัตว์เลี้ยงและทำงานให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงอาจจะหลายปี
ก่อนจะพาลูกสาวของครอบครัวนี้กลับไปยังเผ่าของตนในฐานะเจ้าสาว
ในยุคพ่อแม่ของเจงกิสข่าน แม่ของเจงกิสข่านคือโฮลัน ชาวเผ่าโอลคูนูอุด
ซึ่งมีชื่อเสียงว่ามีสาวสวย ทำให้เป็นที่หมายปองของหลายเผ่าในทุ่งหญ้าสเตปป์
(พระนางชาบิก็เป็นเครือญาติกับเผ่าโอลคูนูอุดเช่นกัน ส่วนท่านกุบเป็นชาวบอริจิน
คิดว่าภรรยาคนแรกของท่านกุบฯ คงเป็นสาวที่หมั้นกันไว้แต่เด็กแน่เลย
ส่วนพระนางชาบิ น่าจะมาพบรักกันตอนโตแล้วล่ะค่ะ)
ชาวเผ่าในทุ่งหญ้าสเตปป์ จะมีทั้งพวกเผ่าที่เลี้ยงสัตว์ เผ่าที่ล่าสัตว์ และเผ่าที่เป็นนักรบ
เผ่าที่เลี้ยงสัตว์จะมีฐานะที่มั่งคั่งกว่าเผ่าล่าสัตว์ โดยวัดจากจำนวนสัตว์เลี้ยง
ดังนั้นหากชาวล่าสัตว์จะสู่ขอเจ้าสาวจึงใช้วิธีการทำงานให้ฝ่ายหญิง
แต่หากฝ่ายชายมีฐานะและไม่ต้องการที่จะเสียเวลาทำงานให้บ้านฝ่ายหญิง
ก็จะนำสิ่งของมีค่าและสัตว์เลี้ยงเป็นจำนวนมากไปให้บ้านหญิงสาวโดยไม่ต้องทำงานให้
ส่วนมากเผ่าที่เป็นนักรบคือพวกตระกูลใหญ่ที่มีเครือญาติเยอะและมีแหล่งเลี้ยงสัตว์ของตนเอง
เผ่านี้มักเป็นทั้งผู้เลี้ยงสัตว์ ค้าขายและชิงทรัพย์จากเผ่าอื่น รวมถึงการชิงดินแดน
(เผ่าของพระนางชาบิเป็นชาวเลี้ยงสัตว์ ส่วนพวกบอริจินเดิมเป็นชาวล่าสัตว์
แต่ต่อมาเมื่อเจงกิสข่านรวบรวมมองโกล จึงทำให้มีฐานะมั่งคั่งเริ่มทำการรบและทำการเลี้ยงสัตว์ด้วย
อย่างไรก็ดีสายเลือดนักล่าก็ยังคงสืบต่อมายังลูกหลาน ท่านกุบฯ จึงโปรดการล่าสัตว์มาก)
ในกรณีที่ฝ่ายชายมีฐานะยากจนและไม่อาจเสียเวลาในการทำงานให้บ้านฝ่ายหญิง
วิธีการที่มักนิยมใช้กันก็คือ ลักพาตัวหญิงสาวมาเป็นเมียของตน ดังกรณีของโฮลัน
ที่เดิมต้องแต่งงานกับชิเลตู ชาวเผ่าเมอร์คิดซึ่งไปสู่ขอและทำงานที่บ้านนางจนได้แต่งงานกัน
แต่ตอนเดินทางกลับไปยังบ้านของชิเลตู มีนายพรานขี่ม้ามาปล้นเจ้าสาวไป
นายพรานคนนั้นก็คือเยซูไก ชาวบอริจิน ระหว่างที่ทำการหลบหนี
โฮลันได้บอกให้ชิเลตูหนีไปเพราะเห็นว่ายังไงก็หนีไม่พ้นแน่แล้ว
พงศาวดารลับ บรรยายว่า . . นางยอมโดนจับแต่ขอให้สามีของนางมีโอกาสรอดชีวิต
นางได้โน้มน้าวสามีเพื่อให้เขายอมทำตามแผนของนางว่า “หากเจ้ามีชีวิตต่อไป
จะมีหญิงสาวอยู่ทุกแห่งและในเกวียนทุกเล่มสำหรับเจ้า เจ้าหาหญิงอื่นมาเป็นเมีย
และเรียกนางว่าโฮลันแทนที่ข้าได้” จากนั้นโฮลันก็รีบถอดกระโปรงของนางออก
และร้องบอกสามีนาง “รีบหนีไป” นางโยนกระโปรงใส่หน้าเขาเพื่อเป็นสัญญาณให้เขาหนีไป
“เอานี่ไป กลิ่นของข้าจะได้ติดไปกับเจ้าด้วย”
กลิ่นมีสถานะที่ล้ำลึกและสำคัญในวัฒนธรรมของทุ่งหญ้าสเตปป์
ขณะที่ผู้คนในวัฒนธรรมอื่นอาจสวมกอดหรือจุมพิตเมื่อพบหรือจากกัน
ชาวเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนแห่งทุ่งหญ้าสเตปป์จะดมอีกฝ่ายหนึ่งด้วยท่าทาง
ที่คล้ายกับการจุมพิตที่แก้ม การดมกลิ่นมีความหมายทางอารมณ์อย่างลึกซึ้ง
ในระดับต่างๆ ซึ่งแตกต่างกันไป ตั้งแต่การดมกลิ่นในครอบครัวระหว่างพ่อแม่กับลูก
ไปจนถึงการดมกลิ่นทางเพศระหว่างคู่รัก มีความเชื่อว่ากลิ่นลมหายใจของแต่ละคน
และกลิ่นกายที่มีลักษณะเฉพาะตัวจะประกอบเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณของคนคนนั้น
งั้นก็หมายความว่า ฉากเนี้ยไม่ใช่การหอมแก้มแต่เป็นการดมกลิ่นหรือนี่
มิน่าตอนหลังท่านกุบฯ ถึงได้เรื่องมากเรื่องกลิ่นตัวของสาวที่จะมานอนด้วย
สงสัยเริ่มเรื่องมากก็ตั้งแต่พระนางชาบิจากไป ไม่อยากให้กลิ่นสาวอื่นมาทำลายความทรงจำ
เมื่ออ่านประวัติศาสตร์ไปเรื่อยๆ เดิมภาพนี้เคยเดาว่าเป็นลูกชายของท่านกุบกับชาบิ
แต่ไปอ่านเจอมาว่า องค์ชายเจนจิ้นลูกของทั้งสองคนเกิดเมื่อปี 1243
พระนางชาบิเกิดปี 1227 = มีลูกคนนี้ตอนอายุ 16 ปี
ท่านกุบฯ เกิดปี 1215 = มีลูกคนนี้ตอนอายุ 28 ปี
มีลูกตั้งแต่เด็กเลยอ้ะพระนางชาบิ แต่นึกอีกทีองค์ชายเจินจิ้นเป็นลูกชายคนที่สอง
ลูกชายคนแรกของพระนางชาบิคือองค์ชายดอร์จี (ตายตั้งแต่เด็ก)
นั่นก็หมายความว่าพระนางชาบิมีลูกตั้งแต่ก่อนจะอายุ 16 ปีน่ะดิ
โห! ถ้าเป็นสมัยนี้ท่านกุบฯ พรากผู้เยาว์ชัดๆ เลยเนี่ย
ท่านกุบฯ อายุมากกว่าพระนางชาบิ 12 ปี สงสัยตอนนั้นคงทั้งรักทั้งหลงเลยทีเดียว
ถ้าทั้งสองมีลูกตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาวขนาดนั้น แสดงว่าภาพนี้น่าจะเป็นหลานมากกว่านะ
ก็ท่านกุบฯ ดูมีอายุแล้ว น่าจะอยู่ในช่วงวัย 50 กว่า ซึ่งก็น่าจะมีหลานได้แล้วค่ะ
ถ้าไม่ใช่หลานก็คงเป็นลูกชายคนเล็กล่ะมั้ง ก็พระนางชาบิมีลูกชายตั้ง 4 คน (ลูกสาวอีกไม่รู้กี่คน)
อ่านหนังสือไปเรื่อยๆ รู้สึกดีใจค่ะที่ตัดสินใจซื้อเรื่องเจงกิสข่านมาอ่านด้วย
ตอนแรกกะจะอ่านแค่เรื่องราวของกุบไลข่าน แต่ตอนนี้ดีใจมากที่ซื้อหนังสือเจงกิสข่านมา
เพราะทำให้เข้าใจรากฐานของมองโกลมากขึ้น เข้าใจที่มาที่ไป
เจงกิสข่านเป็นผู้สร้างและวางรากฐานให้กับลูกหลานในหลายๆ ด้าน
ตอนนี้เท่าที่อ่านไป 3 บท พบว่าชีวิตความเป็นอยู่ดั้งเดิมนั้นลำบาก
แต่พอมายุคที่เจงกิสข่านขึ้นเป็นข่านสูงสุด ท่านได้วางกฎหมายที่ดีไว้ให้ลูกหลาน
1. ห้ามการลักพาตัวผู้หญิง
2. ห้ามการจับและเอาชาวมองโกลคนใดลงเป็นทาส
3. เด็กทุกคนมีสิทธิตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเกิดจากภรรยาหลวงหรือภรรยาน้อย
4. การคบชู้เป็นความผิดตามกฎหมาย
5. การขโมยสัตว์เลี้ยงถือเป็นความผิด โทษสำหรับการเป็นโจรคือประหารชีวิต
6. ทุกคนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน
7. ออกกฏห้ามล่าสัตว์ในช่วงเดือนมีนาคมและตุลาคม
ซึ่งเป็นช่วงฤดูสืบพันธุ์ นายพรานจะต้องล่าเพื่อนำมาเป็นอาหารเท่านั้น
และยังระบุถึงวิธีการล่ากรรมวิธีชำแหละเพื่อไม่ให้สูญเปล่า
จากรากฐานที่เจงกิสข่านได้ยกระดับความเป็นอยู่ของชาวทุ่งหญ้าสเตปป์ให้ดีขึ้น
ทำให้ในสมัยของกุบไลข่าน เป็นยุคที่ศิลปวัฒนธรรมรุ่งเรือง
งิ้วในยุคของกุบไลข่าน จัดว่าเป็นศิลปะการแสดงชั้นยอดที่สุดกว่าทุกยุคสมัย
นอกจากเรื่องราวการสู้รบและความสัมพันธ์ในละครแล้ว
อีกสิ่งที่ o-yo รอดูก็คือ ศิลปะการแสดงในรูปแบบต่างๆ ของชาวมองโกลค่ะ